วันอังคารที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559

อิฐเก่าเล่าตำนาน

วัดประยุรวงศาวาสวรวิหาร

            
            วัดประยุรวงศาวาสวรวิหารได้สำรวจเสาแกนกลาง หรือเสาครูขององค์พระบรมมหาธาตุเจดีย์ตั้งแต่ปี 2535 พบว่าเสาแกนกลางนี้ได้ล้มเอียงพิงผนังภายในองค์เจดีย์ ทำให้เจดีย์เอียงไปทางฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา
ทำให้ผนังรับน้ำหนักจุดนี้มากอาจแตกออกได้ เมื่อปูนฉาบและปูนสอเสื่อมสภาพตามกาลเวลา  ทางวัดจึงเริ่มซ่อมแซมเสาแกนกลางนี้เมื่อปี 2553 หลังจากที่มีการศึกษาและออกแบบวิธีการบูรณะเสาแกนกลางมาเป็นปี กรมศิลปากรไม่อนุญาตให้ทางวัดรื้ออิฐแกนกลางออกมาประกอบใหม่ แต่ใช้ก่ออิฐเสริมฐานเสาให้เต็มฐานที่แกนเสาก่อนบูรณะ โดยให้เหตุผลว่าพระบรมธาตุมหาเจดีย์แห่งนี้เป็นเจดีย์องค์เดียวในยุครัตนโกสินทร์ที่มีเสาแกนกลางและนอกจากนั้น การบูรณะและอนุรักษ์องค์เจดีย์ยังได้รับความร่วมมือที่สำคัญจากชุมชนรอบข้าง ไม่ว่าจะเป็นชุมชนกะดีจีน ชุมชนคลองสาน และชุมชนต่างๆ ใกล้เคียง ที่ได้มาร่วมแสดงความคิดเห็น ร่วมบริจาคเงินและบริจาคข้าวของพระพุทธรูปต่างๆ ให้แก่พิพิธภัณฑ์ ซึ่งถือว่าพวกเขามีส่วนสำคัญที่ช่วยให้การบูรณะครั้งนี้สำเร็จไปได้ด้วยดี จนมีผลทำให้ชุมชนเองมีแหล่งเรียนรู้ ทั้งพิพิธภัณฑ์ ทั้งโบราณสถานอันงดงามสมบูรณ์ และเป็นอีกหนึ่งเหตุผลที่ยูเนสโกมองเห็นความร่วมมือนี้ จนนำมาสู่รางวัลอนุรักษ์มรดกทางวัฒนธรรมในครั้งนี้
พระบรมธาตุมหาเจดีย์ในสมัยก่อนมีการจัดเรียงอิฐคล้ายๆกำแพงพระนครเพราะการจัดเรียงอิฐเป็นการจัดเรียงแบบสั้นสลับยาว แต่ในปัจจุบันเป็นแบบมตราฐาน


อ้างอิง
วัดประยุรวงศสวาสวรวิหาร. [ออนไลน์].http://www.manager.co.th/South/ViewNews.aspx?NewsID=9560000121858 [วันที่เข้าถึง 10 พฤศจิกายน 2559 ]



พิพิธบางลำพู
            ในอดีตมนุษย์นำดินโคลนจากแม่น้ำมาทำเป็นอิฐสำหรับงานก่อสร้าง ประเทศไทยมีการนำมาใช้ในราวปี พ.ศ.๑๑๐๐ โดยชาวขอม ในสมัยทวารวดีมีการขุดพบอิฐในงานก่อสร้างสถาปัตยกรรมต่างๆ จนถึงสุโขทัยหลักฐานที่มีปรากฏอยู่ได้แก่ ซากโบราณสถาน อาทิพระราชวัง เจดีย์ สมัยอยุธยาการทำอิฐใช้ในงานก่อสร้างได้รับความนิยมและความต้องการมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง เพราะมีการพัฒนาบ้านเมืองในส่วนของพระบรมมหาราชวัง โดยเฉพาะวัด เนื่องจากษัตริย์ยึดถือธรรมเนียมการมีวัดประจำรัชกาล


การทำอิฐโบราณ
-วัสดุที่  ใช้         ๑.ดินป่า หรือหน้าดินที่อยู่กลางทุ่งนา

                        ๒.แกลบ
                        ๓.ขี้เถ้า

-ขั้นตอนการทำ

            ๑.นำดินมาหมักไว้ในบ่อ ๑ คืนแล้วนำมานวดเพื่อให้ดินมีความละเอียดและเป็นเนื้อเดียวกัน โดยการย่ำด้วยเท้า

            ๒.เมื่อตีดินเสร็จแล้วนำมาเทรมที่ลานกว้าง ใช้ฟางคลุมดินไว้ ๑ คืน

            ๓.พอรุ่งเช้าเอาฟางที่คลุมดินออกแล้วนำขี้เถ้าโรยบนหน้าดินเพื่อป้องกันดินติดพิมพ์อิฐ ง่ายต่อการแกะ

            ๔.นำดินที่ได้ไปอัดไว้ในพิมพ์ที่รองด้วยเปลือกข้าว ต้องอัดดินให้เต็มเพื่อกันดินหดตัว

            ๕.เมื่อแกะพิมพ์ออกแล้ว ตากแดดไว้ ๒-๓ วัน นำมาแต่งให้เป็นรูปสี่เหลี่ยมแล้วนำมาเรียงให้ตรงเพื่อให้แดดส่องถึงอิฐทุกแผ่น ไว้อีกประมาณ ๓ วัน

            ๖.ลังจากตากแดด ๓ วัน นำไปเข้าเตาเผาอีกประมาณ ๑๐ วัน เมื่อครบกำหนดแล้วนำอิฐออกจากเตา สามารถนำไปใช้ได้เลย


การก่อสร้างกำแพงพระนคร
๑.ขุดดินเป็นแนวยาว ก้นสอบเข้า 
๒.ตอกเสาไม้เสลาเรียงชิดห่างเล็กน้อยไปตลอดแนว
๓.วางเรียงอิฐก้อนขนาดใหญ่บนพื้นดินเหนียวไปตลอดแนวในลักษณะสั้นสลับยาวทีละ ๒ ก้อน
๔.อัดด้วยเศษอิฐหักและอิฐป่นเป็นชั้นหนาประมาณ ๓๐ เซนติเมตร
๕.ทำการปรับหน้าชั้นเศษอิฐหักให้เรียบ
๖.วางเรียงอิฐ ทำการถมด้วยเศษอิฐหักอิฐป่นหนาประมาณ ๑ เมตร
๗.ปรับหน้าให้เรียบ วางเรียงอิฐชั้นที่ ๓
๘.ถมอัดด้วยเศษอิฐหักอิฐป่นหนาประมาณ ๑ เมตรถึงระดับผิวดิน
๙.ปรับหน้าให้เรียบ ก่ออิฐฐานกำแพง ขนาดความกว้างของฐานกำแพงระดับล่างสุดประมาณ ๓.๕ เมตร และในระดับบนสุดประมาณ ๕.๔ เมตร ขนาดรูปหน้าตัดของกำแพงสูงประมาณ ๓.๖ เมตร
๑๐.ก่ออิฐเป็นฐานของใบบังสูงประมาณ ๑ เมตร กว้าง ๑ เมตร จากนั้นก่ออิฐเป็นใบบังรูปเสมาสูงประมาณ ๑ เมตร กว้างประมาณ ๙๐ เซนติเมตร สำหรับวางแนวเข็มไม้เสลาที่พบวางเป็นแนวนั้น เพื่อวางค้ำยันแนวกำแพง โดยวางตัวในแนวเอียงจากแนวดิ่ง ๑๕ องศา ยาวประมาณ ๑.๕ เมตร เป็นเทคนิคการก่อสร้างและง์ความรู้ของคนสมัยนั้นที่มีความฉลาดรอบรู้ในเทคนิคการก่อสร้าง



กำแพงพระนคร
จากการขุดตรวจทางโบราณคดี มีท่อนไม้เสลายาวประมาณ 1.50 เมตร เรียงเป็นระยะตลอดแนว ทำมุมเอียง 15 องศา เพื่อพยุงฐานกำแพงไว้ และพบการเรียงอิฐก้อนใหญ่ที่ทำจากดินเหนียวสภาพสมบูรณ์ยาวตลอดแนวอัดทับด้วยเศษอิฐหักและอิฐป่นเป็นชั้นหนาประมาณ 30 เซนติเมตร ปรับหน้าให้เรียบเรียงอิฐก้อนใหญ่สภาพไม่สมบูรณ์ไปตลอดแนว ถมด้วยเศษอิฐหักและอิฐป่นประมาน 100 เซนติเมตร ปรับหน้าให้เรียบเรียงอิฐขนาดบางเอาสันตั้ง กว้างสลับยาวทีละ 4 ก้อนตลอดแนวถมด้วยอิฐหักและอิฐป่น หนา 30 ซนติเมตร ปรับหน้าให้เรียบเรียงอิฐขนาดบางเอาสันตั้ง กว้างสลับยาวทีละ 4 ก้อนตลอดแนวถมด้วยอิฐหักและอิฐป่นอีกครั้งระดับความกว้างของฐานชั้นล่างสุดประมาณ 4.80 เมตร และชั้นบนสุด กว้างประมาณ 5.40 เมตร สูงประมาณ 2.53 เมตรอิฐขนาดใหญ่ กว้าง 15.50-18 ซม. ยาว 33.00-33.50 ซม. หนา 7.50-10 ซม. อิฐขนาดเล็ก กว้าง 15.50 ยาว 28 หนา 5 ซม.แนวกำแพงนี้แสดงหลักฐานทางโบราณคดี และมีการบูรณะจากเดิมที่พบ มีรูปแบบเดียวกันกับ กำแพงป้อมเขาพระสุเมรุ สำหรับวัสดุและสัดส่วนตามลักษณะพระนครเดิม กำแพง และ ประตูพระนคร ของกรุงเทพมหานครนั้น ตั้งอยู่ในเขตพระนคร ปัจจุบันหลงเหลืออยู่ 2 แห่ง ก็คือ ป้อมพระสุเมรุ บริเวณกำแพงเมือง และประตูเมืองด้านทิศเหนือ และ บริเวณป้อมมหากาฬ กำแพงเมืองพระนครสร้างมาตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 1 โดยนำอิฐที่จากกำแพงกรุงศรีอยุธยามาสร้าง รวมความยาวทั้งหมดประมาณ 7 กิโลเมตร ครอบคลุมเขตเกาะกรุงรัตนโกสินทร์ มีประตูใหญ่ 16 ประตู ประตูเล็กหรือช่องกุด 47 ประตู และมีป้อม 14 ป้อม
อ้างอิง
พินิจพระนคร 2475-2545, กรมแผนที่ทหาร, กองบัญชาการทหารสูงสุด, พ.ศ. 2549
แผนที่กรุงเทพฯ พ.ศ. 2450 - 2550, โดย บัณฑิต จุลาสัยและคณะ, กรุงเทพฯ : สำนักผังเมือง กรุงเทพมหานคร, 2550
เอกสารชุดกระทรวงนครบาล สมัยรัชกาลที่ 5 (มีให้บริการเป็นไมโครฟิล์มที่หอจดหมายเหตุแห่งชาติ)
เอกสารชุดกระทรวงนครบาล สมัยรัชกาลที่ 6 (มีให้บริการเป็นไมโครฟิล์มที่หอจดหมายเหตุแห่งชาติ)
เอกสารชุดกระทรวงมหาดไทย สมัยรัชกาลที่ 7 (มีให้บริการเป็นไมโครฟิล์มที่หอจดหมายเหตุแห่งชาติ) กำแพงและประตูกรุงเทพมหานคร. [ออนไลน์]. https://th.wikipedia.org.
[วันที่เข้าถึง 14 พฤศจิกายน 2559 ]

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น