วัดประยุรวงศาวาสวรวิหาร
วัดประยุรวงศาวาสวรวิหารได้สำรวจเสาแกนกลาง หรือเสาครูขององค์พระบรมมหาธาตุเจดีย์ตั้งแต่ปี 2535 พบว่าเสาแกนกลางนี้ได้ล้มเอียงพิงผนังภายในองค์เจดีย์
ทำให้เจดีย์เอียงไปทางฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา
ทำให้ผนังรับน้ำหนักจุดนี้มากอาจแตกออกได้
เมื่อปูนฉาบและปูนสอเสื่อมสภาพตามกาลเวลา ทางวัดจึงเริ่มซ่อมแซมเสาแกนกลางนี้เมื่อปี 2553 หลังจากที่มีการศึกษาและออกแบบวิธีการบูรณะเสาแกนกลางมาเป็นปี กรมศิลปากรไม่อนุญาตให้ทางวัดรื้ออิฐแกนกลางออกมาประกอบใหม่ แต่ใช้ก่ออิฐเสริมฐานเสาให้เต็มฐานที่แกนเสาก่อนบูรณะ
โดยให้เหตุผลว่าพระบรมธาตุมหาเจดีย์แห่งนี้เป็นเจดีย์องค์เดียวในยุครัตนโกสินทร์ที่มีเสาแกนกลางและนอกจากนั้น
การบูรณะและอนุรักษ์องค์เจดีย์ยังได้รับความร่วมมือที่สำคัญจากชุมชนรอบข้าง
ไม่ว่าจะเป็นชุมชนกะดีจีน ชุมชนคลองสาน และชุมชนต่างๆ ใกล้เคียง
ที่ได้มาร่วมแสดงความคิดเห็น ร่วมบริจาคเงินและบริจาคข้าวของพระพุทธรูปต่างๆ
ให้แก่พิพิธภัณฑ์
ซึ่งถือว่าพวกเขามีส่วนสำคัญที่ช่วยให้การบูรณะครั้งนี้สำเร็จไปได้ด้วยดี
จนมีผลทำให้ชุมชนเองมีแหล่งเรียนรู้ ทั้งพิพิธภัณฑ์ ทั้งโบราณสถานอันงดงามสมบูรณ์
และเป็นอีกหนึ่งเหตุผลที่ยูเนสโกมองเห็นความร่วมมือนี้
จนนำมาสู่รางวัลอนุรักษ์มรดกทางวัฒนธรรมในครั้งนี้
อ้างอิง
วัดประยุรวงศสวาสวรวิหาร.
[ออนไลน์].http://www.manager.co.th/South/ViewNews.aspx?NewsID=9560000121858 [วันที่เข้าถึง 10 พฤศจิกายน 2559 ]
พิพิธบางลำพู
ในอดีตมนุษย์นำดินโคลนจากแม่น้ำมาทำเป็นอิฐสำหรับงานก่อสร้าง
ประเทศไทยมีการนำมาใช้ในราวปี พ.ศ.๑๑๐๐ โดยชาวขอม
ในสมัยทวารวดีมีการขุดพบอิฐในงานก่อสร้างสถาปัตยกรรมต่างๆ
จนถึงสุโขทัยหลักฐานที่มีปรากฏอยู่ได้แก่ ซากโบราณสถาน อาทิพระราชวัง เจดีย์
สมัยอยุธยาการทำอิฐใช้ในงานก่อสร้างได้รับความนิยมและความต้องการมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง
เพราะมีการพัฒนาบ้านเมืองในส่วนของพระบรมมหาราชวัง โดยเฉพาะวัด
เนื่องจากษัตริย์ยึดถือธรรมเนียมการมีวัดประจำรัชกาล
การทำอิฐโบราณ
-วัสดุที่
ใช้
๑.ดินป่า หรือหน้าดินที่อยู่กลางทุ่งนา
๒.แกลบ
๓.ขี้เถ้า
-ขั้นตอนการทำ
๑.นำดินมาหมักไว้ในบ่อ ๑
คืนแล้วนำมานวดเพื่อให้ดินมีความละเอียดและเป็นเนื้อเดียวกัน โดยการย่ำด้วยเท้า
๒.เมื่อตีดินเสร็จแล้วนำมาเทรมที่ลานกว้าง ใช้ฟางคลุมดินไว้ ๑ คืน
๓.พอรุ่งเช้าเอาฟางที่คลุมดินออกแล้วนำขี้เถ้าโรยบนหน้าดินเพื่อป้องกันดินติดพิมพ์อิฐ
ง่ายต่อการแกะ
๔.นำดินที่ได้ไปอัดไว้ในพิมพ์ที่รองด้วยเปลือกข้าว
ต้องอัดดินให้เต็มเพื่อกันดินหดตัว
๕.เมื่อแกะพิมพ์ออกแล้ว ตากแดดไว้ ๒-๓ วัน
นำมาแต่งให้เป็นรูปสี่เหลี่ยมแล้วนำมาเรียงให้ตรงเพื่อให้แดดส่องถึงอิฐทุกแผ่น
ไว้อีกประมาณ ๓ วัน
๖.ลังจากตากแดด ๓ วัน นำไปเข้าเตาเผาอีกประมาณ ๑๐ วัน
เมื่อครบกำหนดแล้วนำอิฐออกจากเตา สามารถนำไปใช้ได้เลย
การก่อสร้างกำแพงพระนคร
๑.ขุดดินเป็นแนวยาว
ก้นสอบเข้า
๒.ตอกเสาไม้เสลาเรียงชิดห่างเล็กน้อยไปตลอดแนว
๓.วางเรียงอิฐก้อนขนาดใหญ่บนพื้นดินเหนียวไปตลอดแนวในลักษณะสั้นสลับยาวทีละ
๒ ก้อน
๔.อัดด้วยเศษอิฐหักและอิฐป่นเป็นชั้นหนาประมาณ
๓๐ เซนติเมตร
๕.ทำการปรับหน้าชั้นเศษอิฐหักให้เรียบ
๖.วางเรียงอิฐ
ทำการถมด้วยเศษอิฐหักอิฐป่นหนาประมาณ ๑ เมตร
๗.ปรับหน้าให้เรียบ
วางเรียงอิฐชั้นที่ ๓
๘.ถมอัดด้วยเศษอิฐหักอิฐป่นหนาประมาณ
๑ เมตรถึงระดับผิวดิน
๙.ปรับหน้าให้เรียบ
ก่ออิฐฐานกำแพง ขนาดความกว้างของฐานกำแพงระดับล่างสุดประมาณ ๓.๕ เมตร
และในระดับบนสุดประมาณ ๕.๔ เมตร ขนาดรูปหน้าตัดของกำแพงสูงประมาณ ๓.๖ เมตร
๑๐.ก่ออิฐเป็นฐานของใบบังสูงประมาณ
๑ เมตร กว้าง ๑ เมตร จากนั้นก่ออิฐเป็นใบบังรูปเสมาสูงประมาณ ๑ เมตร กว้างประมาณ
๙๐ เซนติเมตร สำหรับวางแนวเข็มไม้เสลาที่พบวางเป็นแนวนั้น เพื่อวางค้ำยันแนวกำแพง
โดยวางตัวในแนวเอียงจากแนวดิ่ง ๑๕ องศา ยาวประมาณ ๑.๕ เมตร
เป็นเทคนิคการก่อสร้างและง์ความรู้ของคนสมัยนั้นที่มีความฉลาดรอบรู้ในเทคนิคการก่อสร้าง
กำแพงพระนคร
จากการขุดตรวจทางโบราณคดี
มีท่อนไม้เสลายาวประมาณ 1.50 เมตร
เรียงเป็นระยะตลอดแนว ทำมุมเอียง 15 องศา
เพื่อพยุงฐานกำแพงไว้
และพบการเรียงอิฐก้อนใหญ่ที่ทำจากดินเหนียวสภาพสมบูรณ์ยาวตลอดแนวอัดทับด้วยเศษอิฐหักและอิฐป่นเป็นชั้นหนาประมาณ 30 เซนติเมตร ปรับหน้าให้เรียบเรียงอิฐก้อนใหญ่สภาพไม่สมบูรณ์ไปตลอดแนว
ถมด้วยเศษอิฐหักและอิฐป่นประมาน 100 เซนติเมตร ปรับหน้าให้เรียบเรียงอิฐขนาดบางเอาสันตั้ง
กว้างสลับยาวทีละ 4 ก้อนตลอดแนวถมด้วยอิฐหักและอิฐป่น
หนา 30 ซนติเมตร
ปรับหน้าให้เรียบเรียงอิฐขนาดบางเอาสันตั้ง กว้างสลับยาวทีละ 4 ก้อนตลอดแนวถมด้วยอิฐหักและอิฐป่นอีกครั้งระดับความกว้างของฐานชั้นล่างสุดประมาณ 4.80 เมตร และชั้นบนสุด กว้างประมาณ 5.40 เมตร สูงประมาณ 2.53 เมตรอิฐขนาดใหญ่ กว้าง 15.50-18 ซม. ยาว 33.00-33.50 ซม. หนา 7.50-10 ซม. อิฐขนาดเล็ก กว้าง 15.50 ยาว 28 หนา 5 ซม.แนวกำแพงนี้แสดงหลักฐานทางโบราณคดี
และมีการบูรณะจากเดิมที่พบ มีรูปแบบเดียวกันกับ กำแพงป้อมเขาพระสุเมรุ
สำหรับวัสดุและสัดส่วนตามลักษณะพระนครเดิม กำแพง และ ประตูพระนคร
ของกรุงเทพมหานครนั้น ตั้งอยู่ในเขตพระนคร ปัจจุบันหลงเหลืออยู่ 2 แห่ง ก็คือ ป้อมพระสุเมรุ บริเวณกำแพงเมือง และประตูเมืองด้านทิศเหนือ และ
บริเวณป้อมมหากาฬ กำแพงเมืองพระนครสร้างมาตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 1 โดยนำอิฐที่จากกำแพงกรุงศรีอยุธยามาสร้าง รวมความยาวทั้งหมดประมาณ 7 กิโลเมตร ครอบคลุมเขตเกาะกรุงรัตนโกสินทร์ มีประตูใหญ่ 16 ประตู ประตูเล็กหรือช่องกุด 47 ประตู และมีป้อม 14 ป้อม
อ้างอิง
พินิจพระนคร 2475-2545, กรมแผนที่ทหาร, กองบัญชาการทหารสูงสุด, พ.ศ. 2549
แผนที่กรุงเทพฯ
พ.ศ. 2450 -
2550, โดย บัณฑิต
จุลาสัยและคณะ, กรุงเทพฯ : สำนักผังเมือง กรุงเทพมหานคร, 2550
เอกสารชุดกระทรวงนครบาล
สมัยรัชกาลที่ 5 (มีให้บริการเป็นไมโครฟิล์มที่หอจดหมายเหตุแห่งชาติ)
เอกสารชุดกระทรวงนครบาล
สมัยรัชกาลที่ 6 (มีให้บริการเป็นไมโครฟิล์มที่หอจดหมายเหตุแห่งชาติ)
เอกสารชุดกระทรวงมหาดไทย
สมัยรัชกาลที่ 7 (มีให้บริการเป็นไมโครฟิล์มที่หอจดหมายเหตุแห่งชาติ)
กำแพงและประตูกรุงเทพมหานคร. [ออนไลน์]. https://th.wikipedia.org.
[วันที่เข้าถึง 14 พฤศจิกายน 2559 ]
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น