วันจันทร์ที่ 21 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559

สมัยอยุธยา
วัดใหญ่ชัยมงคล

วัดใหญ่ชัยมงคลเดิมชื่อวัดป่าแก้ว หรือ วัดเจ้าไท ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ของเกาะพระนคร ปัจจุบันเป็นพื้นที่ตำบลคลองสวนพลู อำเภอพระนครศรีอยุธยา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ภายในอุโบสถ เป็นที่ประดิษฐานพระพุทธชัยมงคล พระประธานที่เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ของวัด นอกจากนี้แล้ว ภายในวัดยังเป็นที่ประดิษฐานศาลสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ที่ก่อสร้างแล้วเสร็จในปี พ..2554 อีกด้วย วัดใหญ่ชัยมงคลเป็น  วัดที่เกิดขึ้นในสมัยอยุธยา แต่ไม่ปรากฏหลักฐานแน่ชัดว่าสร้างขึ้นเมื่อใด ได้มีอายุราว200กว่าปี



อิฐที่ใช้ในการก่อสร้างนั้นส่วนใหญ่จะเป็นอิฐมอญ หรือ อิฐแดง เนื่องจากส่วนผสมในการทำอิฐนั้นหาได้ง่ายตามธรรมชาติ ซึ่งส่วนผสมในการทำอิฐมอญก็คือ การนำดินเหนียวและแกลบไปเผาและตากแดด อิฐแต่ละก้อนจะมีขนาดไม่เท่ากันเพราะในอดีตจะไม่มีเครื่องมือที่ช่วยทำอิฐ จะใช้แต่การปั้นด้วยมือจึงทำให้อิฐแต่ละก้อนมีขนาดที่แตกต่างกันไป



จากการไปศึกษาที่วัดใหญ่ชัยมงคลทำให้ทราบว่าไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานเท่าไรสิ่งก่อสร้างบางอย่างก็ยังมีการใช้สืบต่อกันมาตั้งแต่อดีต และได้ทราบถึงวิวัฒนาการของการผลิตในสมัยก่อนจนถึงปัจจุบัน




การจัดเรียงอิฐในวัดใหญ่ชัยมงคล




อ้างอิง
วัดใหญ่ชัยมงคล
สมัยรัตนโกสินทร์
พิพิธบางลำพู

            ในอดีตมนุษย์นำดินโคลนจากแม่น้ำมาทำเป็นอิฐสำหรับงานก่อสร้าง ประเทศไทยมีการนำมาใช้ในราวปี พ.ศ.๑๑๐๐ โดยชาวขอม ในสมัยทวารวดีมีการขุดพบอิฐในงานก่อสร้างสถาปัตยกรรมต่างๆ จนถึงสุโขทัยหลักฐานที่มีปรากฏอยู่ได้แก่ ซากโบราณสถาน อาทิ พระราชวัง เจดีย์ สมัยอยุธยาการทำอิฐใช้ในงานก่อสร้างได้รับความนิยมและความต้องการมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง เพราะมีการพัฒนาบ้านเมืองในส่วนของพระบรมมหาราชวัง โดยเฉพาะวัด เนื่องจากกษัตริย์ยึดถือธรรมเนียมการมีวัดประจำรัชกาล

การทำอิฐโบราณ
-วัสดุที่ใช้         ๑.ดินป่า หรือหน้าดินที่อยู่กลางทุ่งนา
                        ๒.แกลบ
                        ๓.ขี้เถ้า
-ขั้นตอนการทำ
            ๑.นำดินมาหมักไว้ในบ่อ ๑ คืนแล้วนำมานวดเพื่อให้ดินมีความละเอียดและเป็นเนื้อเดียวกัน โดยการย่ำด้วยเท้า
            ๒.เมื่อตีดินเสร็จแล้วนำมาเทรวมที่ลานกว้าง ใช้ฟางคลุมดินไว้ ๑ คืน
            ๓.พอรุ่งเช้าเอาฟางที่คลุมดินออกแล้วนำขี้เถ้าโรยบนหน้าดินเพื่อป้องกันดินติดพิมพ์อิฐ ง่ายต่อการแกะ
            ๔.นำดินที่ได้ไปอัดไว้ในพิมพ์ที่รองด้วยเปลือกข้าว ต้องอัดดินให้เต็ม เพื่อกันดินหดตัว
            ๕.เมื่อแกะพิมพ์ออกแล้ว ตากแดดไว้ ๒-๓ วัน นำมาแต่งให้เป็นรูปสี่เหลี่ยมแล้วนำมาเรียงให้ตรงเพื่อให้แดดส่องถึงอิฐทุกแผ่น ไว้อีกประมาณ ๓ วัน
            ๖.หลังจากตากแดด ๓ วัน นำไปเข้าเตาเผาอีกประมาณ ๑๐ วัน เมื่อครบกำหนดแล้วนำอิฐออกจากเตา สามารถนำไปใช้ได้เลย

การก่อสร้างกำแพงพระนคร

๑.ขุดดินเป็นแนวยาว ก้นสอบเข้า 
๒.ตอกเสาไม้เสลาเรียงชิดห่างเล็กน้อยไปตลอดแนว
๓.วางเรียงอิฐก้อนขนาดใหญ่บนพื้นดินเหนียวไปตลอดแนวในลักษณะสั้นสลับยาวทีละ ๒ ก้อน
๔.อัดด้วยเศษอิฐหักและอิฐป่นเป็นชั้นหนาประมาณ ๓๐ เซนติเมตร
๕.ทำการปรับหน้าชั้นเศษอิฐหักให้เรียบ
๖.วางเรียงอิฐ ทำการถมด้วยเศษอิฐหักอิฐป่นหนาประมาณ ๑ เมตร
๗.ปรับหน้าให้เรียบ วางเรียงอิฐชั้นที่ ๓
๘.ถมอัดด้วยเศษอิฐหักอิฐป่นหนาประมาณ ๑ เมตรถึงระดับผิวดิน
๙.ปรับหน้าให้เรียบ ก่ออิฐฐานกำแพง ขนาดความกว้างของฐานกำแพงระดับล่างสุดประมาณ ๓.๕ เมตร และในระดับบนสุดประมาณ ๕.๔ เมตร ขนาดรูปหน้าตัดของกำแพงสูงประมาณ ๓.๖ เมตร
๑๐.ก่ออิฐเป็นฐานของใบบังสูงประมาณ ๑ เมตร กว้าง ๑ เมตร จากนั้นก่ออิฐเป็นใบบังรูปเสมาสูงประมาณ ๑ เมตร กว้างประมาณ ๙๐ เซนติเมตร สำหรับวางแนวเข็มไม้เสลาที่พบวางเป็นแนวนั้น เพื่อวางค้ำยันแนวกำแพง โดยวางตัวในแนวเอียงจากแนวดิ่ง ๑๕ องศา ยาวประมาณ ๑.๕ เมตร เป็นเทคนิคการก่อสร้างและองค์ความรู้ของคนสมัยนั้นที่มีความฉลาดรอบรู้ในเทคนิคการก่อสร้าง



การจัดเรียงในพิพิธบางลำพู



กำแพงพระนคร

จากการขุดตรวจทางโบราณคดี มีท่อนไม้เสลายาวประมาณ 1.50 เมตร เรียงเป็นระยะตลอดแนว ทำมุมเอียง 15 องศา เพื่อพยุงฐานกำแพงไว้ และพบการเรียงอิฐก้อนใหญ่ที่ทำจากดินเหนียวสภาพสมบูรณ์ยาวตลอดแนวอัดทับด้วยเศษอิฐหักและอิฐป่นเป็นชั้นหนาประมาณ 30 เซนติเมตร ปรับหน้าให้เรียบเรียงอิฐก้อนใหญ่สภาพไม่สมบูรณ์ไปตลอดแนว ถมด้วยเศษอิฐหักและอิฐป่นประมาน 100 เซนติเมตร ปรับหน้าให้เรียบเรียงอิฐขนาดบางเอาสันตั้ง กว้างสลับยาวทีละ 4 ก้อนตลอดแนวถมด้วยอิฐหักและอิฐป่น หนา 30 ซนติเมตร ปรับหน้าให้เรียบเรียงอิฐขนาดบางเอาสันตั้ง กว้างสลับยาวทีละ 4 ก้อนตลอดแนวถมด้วยอิฐหักและอิฐป่นอีกครั้งระดับความกว้างของฐานชั้นล่างสุดประมาณ 4.80 เมตร และชั้นบนสุด กว้างประมาณ 5.40 เมตร สูงประมาณ 2.53 เมตรอิฐขนาดใหญ่ กว้าง 15.50-18 ซม. ยาว 33.00-33.50 ซม. หนา 7.50-10 ซม. อิฐขนาดเล็ก กว้าง 15.50 ยาว 28 หนา 5 ซม.แนวกำแพงนี้แสดงหลักฐานทางโบราณคดี



มีการบูรณะจากเดิมที่พบ มีรูปแบบเดียวกันกับ กำแพงป้อมเขาพระสุเมรุ สำหรับวัสดุและสัดส่วนตามลักษณะพระนครเดิม กำแพง และ ประตูพระนคร ของกรุงเทพมหานครนั้น ตั้งอยู่ในเขตพระนคร ปัจจุบันหลงเหลืออยู่ 2 แห่ง ก็คือ ป้อมพระสุเมรุ บริเวณกำแพงเมือง และประตูเมืองด้านทิศเหนือ และ บริเวณป้อมมหากาฬ กำแพงเมืองพระนครสร้างมาตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 1 โดยนำอิฐที่จากกำแพงกรุงศรีอยุธยามาสร้าง รวมความยาวทั้งหมดประมาณ 7 กิโลเมตร ครอบคลุมเขตเกาะกรุงรัตนโกสินทร์ มีประตูใหญ่ 16 ประตู ประตูเล็กหรือช่องกุด 47 ประตู และมีป้อม 14 ป้อม



การจัดเรียงอิฐในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์





อ้างอิง
พินิจพระนคร 2475-2545, กรมแผนที่ทหารกองบัญชาการทหารสูงสุดพ.ศ. 2549
แผนที่กรุงเทพฯ พ.ศ. 2450 - 2550, โดย บัณฑิต จุลาสัยและคณะกรุงเทพฯ : สำนักผังเมือง กรุงเทพมหานคร, 2550
เอกสารชุดกระทรวงนครบาล สมัยรัชกาลที่ 5 (มีให้บริการเป็นไมโครฟิล์มที่หอจดหมายเหตุแห่งชาติ)
เอกสารชุดกระทรวงนครบาล สมัยรัชกาลที่ 6 (มีให้บริการเป็นไมโครฟิล์มที่หอจดหมายเหตุแห่งชาติ)
เอกสารชุดกระทรวงมหาดไทย สมัยรัชกาลที่ 7 (มีให้บริการเป็นไมโครฟิล์มที่หอจดหมายเหตุแห่งชาติ) กำแพงและประตูกรุงเทพมหานคร. [ออนไลน์]. https://th.wikipedia.org.
[วันที่เข้าถึง 14 พฤศจิกายน 2559 ]

วัดพระศรีสรรเพชญ

วัดพระศรีสรรเพชญเป็นวัดในพระบรมมหาราชวัง นับเป็นต้นแบบของวัดในพระบรมมหาราชวังของสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ มีการพระราชทานนามว่า “พระศรีสรรเพชญเล่ากันว่าในคราวเสียกรุงศรีอยุธยาในครั้งสุดท้าย ข้าศึกได้สุมไฟพระศรีสรรเพชญเพื่อเอาทอง ล่วงมาในสมัยรัตนโกสินทร์ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช โปรดเกล้าฯ ให้อัญเชิญชิ้นส่วนชำรุดของพระประธานนี้ลงมากรุงเทพฯและชิ้นส่วนซึ่งบูรณะไม่ได้แล้วเหล่านั้นไว้ในเจดีย์องค์ใหญ่ที่สร้างขึ้นแล้วพระราชทานชื่อเจดีย์ เจดีย์สรรเพชญดาญาณ
จากการที่ไปศึกษาที่วัดพระศรีสรรเพชญจึงได้ทราบว่า





อิฐในสมัยก่อนมีความแข็งแรงและทนทานมากแม้จะผ่านกาลเวลามานานหลายปีก็ยังมีสภาพที่เหมือนเดิม ถึงแม้ว่าอิฐบางส่วนในสิ่งก่อสร้างจะเสื่อมสภาพลงไปแต่ก็ยังคงรูปเดิมไว้ได้จนถึงปัจจุบัน




การจัดเรียงอิฐในวัดพระศรีสรรเพชญ









การจัดเรียงอิฐในวัดพระศรีสรรเพชญ





อ้างอิง
วัดพระศรีสรรเพชญ

วัดประยุรวงศาวาสวรวิหาร

            วัดประยุรวงศาวาสวรวิหารได้สำรวจเสาแกนกลาง หรือเสาครูขององค์พระบรมมหาธาตุเจดีย์ตั้งแต่ปี 2535 พบว่าเสาแกนกลางนี้ได้ล้มเอียงพิงผนังภายในองค์เจดีย์ ทำให้เจดีย์เอียงไปทางฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา ทำให้ผนังรับน้ำหนักจุดนี้มากอาจแตกออกได้ เมื่อปูนฉาบและปูนสอเสื่อมสภาพตามกาลเวลา  ทางวัดจึงเริ่มซ่อมแซมเสาแกนกลางนี้เมื่อปี 2553 





             


หลังจากที่มีการศึกษาและออกแบบวิธีการบูรณะเสาแกนกลางมาเป็นปี กรมศิลปากรไม่อนุญาตให้ทางวัดรื้ออิฐแกนกลางออกมาประกอบใหม่ แต่ใช้ก่ออิฐเสริมฐานเสาให้เต็มฐานที่แกนเสาก่อนบูรณะ โดยให้เหตุผลว่าพระบรมธาตุมหาเจดีย์แห่งนี้เป็นเจดีย์องค์เดียวในยุครัตนโกสินทร์ที่มีเสาแกนกลาง นอกจากนั้น การบูรณะและอนุรักษ์องค์เจดีย์ยังได้รับความร่วมมือที่สำคัญจากชุมชนรอบข้าง ไม่ว่าจะเป็นชุมชนกะดีจีน ชุมชนคลองสาน และชุมชนต่างๆ ใกล้เคียง ที่ได้มาร่วมแสดงความคิดเห็น ร่วมบริจาคเงินและบริจาคข้าวของพระพุทธรูปต่างๆ ให้แก่พิพิธภัณฑ์ ซึ่งถือว่าพวกเขามีส่วนสำคัญที่ช่วยให้การบูรณะครั้งนี้สำเร็จไปได้ด้วยดี จนมีผลทำให้ชุมชนเองมีแหล่งเรียนรู้ ทั้งพิพิธภัณฑ์ ทั้งโบราณสถานอันงดงามสมบูรณ์ และเป็นอีกหนึ่งเหตุผลที่ยูเนสโกมองเห็นความร่วมมือนี้ จนนำมาสู่รางวัลอนุรักษ์มรดกทางวัฒนธรรมในครั้งนี้
พระบรมธาตุมหาเจดีย์ในสมัยก่อนมีการจัดเรียงอิฐคล้ายๆกำแพงพระนครเพราะการจัดเรียงอิฐเป็นการจัดเรียงแบบสั้นสลับยาว แต่ในปัจจุบันเป็นแบบมาตรฐาน





การจัดเรียงอิฐวัดประยุรวงศาวาสวรวิหาร






อ้างอิง
วัดประยุรวงศาสวาสวรวิหาร. [ออนไลน์].http://www.manager.co.th/South/ViewNews.aspx?NewsID=9560000121858 [วันที่เข้าถึง 10 พฤศจิกายน 2559 ]


แหล่งผลิตอิฐ

            ในปัจจุบันหลงเหลือเพียงไม่กี่แห่ง โรงงานที่มีชื่อเสียงที่สุดคือที่อำเภอบางบาล จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ไม่มีการตั้งชื่ออย่างเป็นทางการแต่จะเรียกชื่อตามเจ้าของโรงงาน ดังนี้
          -โรงงานอิฐมอญทำมือหรืออิฐตัน (โรงงานสำเริง)
          “เปิดมา 20 ปีแล้ว ตั้งแต่รุ่นแม่เป็นอิฐทำมือหมดเลย อิฐทำมือต้องใช้คนทำอย่างเดียว ในโรงงานมีแรงงาน 30-40 คน วันหนึ่งผลิตได้แล้วแต่แรงงานคน อิฐจะมีผิวเรียบ ทนทานมากกว่าอิฐมอญแบบใช้เครื่อง ไม่มีรูและใช้เวลาในการทำนานกว่า อิฐมอญทำมือจะมีราคามากกว่าอิฐมอญใช้เครื่อง เพราะมีวิธีการที่ยุ่งยากกว่า ปัจจุบันราคาอิฐตัวละ 70 สตางค์ ทราบว่าราคาเคยต่ำถึง 45 สตางค์ ถ้าไปส่งจะราคา 80-100 สตางค์แล้วแต่ระยะทาง


อิฐตัน

          -โรงงานอิฐมอญใช้เครื่องหรืออิฐมีรู (โรงงานธนากร)
          “ทำมา 10-20 ปีแล้ว ต่างจากอิฐมอญทำมือ เพราะการผลิตอิฐมอญทำมือมีความพิถีพิถันมากกว่าจึงดัดแปลงมาทำเครื่อง ลดการใช้แรงงาน มีรู ส่วนผสมเหมือนเดิมตั้งแต่ต้น คาดว่าโรงงานทำอิฐมอญจะลดลง เพราะต้นทุนสูง แกลบมีราคาแพง ปัจจุบันราคาก้อนละ 80 สตางค์



อิฐมีรู



การตากอิฐมอญมีรู



การเผาแกลบ




โรงงานธนากร


อ้างอิง
โรงงานอิฐสำเริง อำเภอบางบาล จังหวัดพระนครศรีอยุธยา
โรงงานอิฐธนากร อำเภอบางบาล จังหวัดพระนครศรีอยุธยา 

อุปสรรคในการผลิต

-สภาพอากาศ ถ้าแดดแรงอิฐจะแห้งไว ใช้เวลาในการตาก 2 วัน ถ้าฝนตกจะใช้เวลาในการตาก 3-4 วัน ใช้เวลาเผา 7 วัน
-ดิน สภาพดินไม่ดี ดินแตก ไม่สามารถผลิตได้
-พ่อค้าคนกลาง ส่วนใหญ่พ่อค้าคนกลางจะเข้ามาซื้ออิฐในช่วงฤดูร้อน และนำไปขายในช่วงฤดูฝน ซึ่งอิฐมีราคาสูงกว่าปกติ ทำให้ผู้ผลิตไม่ได้กำไร

แนวโน้มในอนาคต

จากการสัมภาษณ์คุณสำเริง อาวรณ์ คุณน้าบอกว่าอิฐทำมือจะต้องอยู่คู่ตลอดไปมีคนสืบทอดเพราะอยู่มานาน อิฐที่อำเภอบางบาลมี 2 รูปแบบ คืออิฐมอญใช้เครื่องกับอิฐมอญทำมือ อิฐมอญทำมือจะมีรายได้ดีกว่า แต่ถ้าต่อไปในอนาคต ลูกหลานเบื่อทำโรงงานแล้วก็ไม่รู้จะตอบยังไง ตอนนี้มีการทำนาด้วย ทำโรงงานไม่ชอบทำแรงงานเพราะกลัวแดด น้าสำเริงบอกว่า น้าเกิดที่อยุธยา ตอนนี้เปลี่ยนไปเยอะ เมื่อก่อนมีแต่ชาวบ้านทำแต่เดี๋ยวนี้มีคนที่อื่นมาทำแทน คือ แรงงานต่างด้าวหรือแรงงานไทยบางส่วนจากภาคอีสาน ชาวบ้านไม่ค่อยทำกันแล้ว ในสมัยก่อนดินที่ใช้ทำอิฐคือดินที่นำมาจากป่า แต่ในปัจจุบันจะหาดินจากป่าได้ยาก เราจึงใช้ดินที่ไม่มีส่วนผสมของหินและทราย ประโยชน์ของอิฐไม่เปลี่ยนไปจากอดีตมากนัก คือ เอาไว้ทำก่อสร้าง ฉาบโชว์ ก่อบ้าน รูปแบบของอิฐเคยพัฒนาแล้ว มาตรฐานมันไม่ได้ เคยลองใช้เครื่องแล้ว อิฐไม่ทน เปราะง่าย   ปัจจุบันจึงยังต้องใช้คนทำอยู่





คุณลุงสำเริง อาวรณ์
เจ้าของโรงงานอิฐมอญทำมือ

และจากการสัมภาษณ์ เจ้าของโรงอิฐธนากร บอกว่า มีลูกหลานสืบทอดกิจการ มีลูกชายช่วยทำงาน ขับรถ ยังมีการสั่งทำอิฐทุกวัน แม้แต่คอนโดสูง 40 ชั้น ราคา 6  ล้านกว่า ปัจจุบันมีการประกอบอาชีพฟาร์มปลาฟาร์มกบด้วย เพื่อเป็นการทำอาชีพเสริม




เจ้าของโรงงานอิฐธนากร

นอกจากนี้จากการสัมภาษณ์ลุงประยูรยังเล่าว่าในปัจจุบันมีความนิยมอิฐทั้งสองรูปแบบ ซึ่งแต่ละแบบก็ตอบสนองความต้องการการก่อสร้างที่แตกต่างกันเช่น อิฐมอญใช้เครื่องที่ผลิตโดยโรงงานก็จะตอบสนองความต้องการในการสร้างอาคารบ้านเรือนที่เป็นตึกมากกว่า ส่วนอิฐมอญที่ทำด้วยมือนั้นก็มีแนวโน้มที่มีการใช้มากขึ้นเพราะมีการใช้ในการไปทำบ้านดินหรือที่พักที่เป็นรีสอร์ทมากขึ้นเพราะการใช้อิฐมอญทำบ้านหรือที่อยู่อาศัย จะทำให้บ้านที่อยู่เย็นสบายและเข้ากับบรรยากาศของธรรมชาติมากกว่าและยังนำไปใช้ในการสร้างกำแพงหรือประตูในการประปา และในอนาคตอาจจะมีการใช้อิฐมอญมาสร้างบ้านเรือนคนมากขึ้นเพราะอิฐมอญทำมือเป็นอิฐที่แข็งแรงและทุกวันนี้ยังคงมีความต้องการในการใช้อิฐมอญมากขึ้นเรื่อยๆ  




คุณลุงประยูรและคุณป้าวิมล
ผู้ทำอิฐมอญทำมือ




อ้างอิง
โรงงานอิฐสำเริง อำเภอบางบาล จังหวัดพระนครศรีอยุธยา
โรงงานอิฐธนากร อำเภอบางบาล จังหวัดพระนครศรีอยุธยา
ผู้ทำอิฐมอญทำมือ คุณลุงประยูร


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น